ใบกำกับภาษีปลอม

  • Posted on: 20 October 2015
  • By: nid

การประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการ หากผู้ประกอบธุรกิจมีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการ 1,800,000 บาทขึ้นไปจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ก็มีธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการบางประเภทที่กฎหมายให้สิทธิยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ธุรกิจขายพืชผลทางการเกษตร ขายสัตว์ ขายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ธุรกิจขนส่ง เป็นต้น

เมื่อผู้ประกอบการได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการมีหน้าที่ตามประมวลรัษฎากร คือ จะต้องออกใบกำกับภาษีพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้า ต้องจัดทำรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มให้เสร็จภายใน 3 วันทำการ ต้องยื่นแบบ (ภ.พ.30) และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ว่าจะมีภาษีที่ต้องชำระหรือไม่ก็ตามภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าผู้ประกอบการนั้นจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ตาม

“ชานนท์” เป็นสมุห์บัญชีบริษัทแห่งหนึ่งประกอบธุรกิจผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายเป็นการทั่วไป ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในแต่ละเดือนภาษีจึงมีหน้าที่นำภาษีขายมาหักออกจากภาษีซื้อเพื่อคำนวณหาภาษีที่ต้องนำส่งกรมสรรพากรในแต่ละเดือน ซึ่งภาษีขายเกิดจากการขายสินค้าให้กับลูกค้าแล้วเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้าเพื่อนำส่งกรมสรรพากร
ส่วนภาษีซื้อเกิดจากการซื้อสินค้า วัตถุดิบ ทรัพย์สิน ตลอดจนการจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วถูกผู้ประกอบการรายอื่นเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งผู้ประกอบการมีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ “ชานนท์” จึงมีหน้าที่นำภาษีขายมาหักออกจากภาษีซื้อในแต่ละเดือนเพื่อคำนวณหาภาษีที่ต้องนำส่งหรือขอคืน

หากเดือนใดภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อผลแตกต่างที่เกิดขึ้นต้องนำส่งกรมสรรพากร หากเดือนใดภาษีขายน้อยกว่าภาษีซื้อผลแตกต่างที่เกิดขึ้นมีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร
บริษัทที่ “ชานนท์” เป็นสมุห์บัญชีอยู่นั้นได้มีการจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ออกไปไม่ว่าจะเป็นการซื้อวัตถุดิบนำมาผลิตสินค้า วัสดุสิ้นเปลืองในการผลิต ซื้อเครื่องจักร เครื่องมือเครื่องใช้ รวมถึงค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่างๆ จำนวนมากในแต่ละเดือน หากไปซื้อจากร้านค้าใดก็มักจะขอใบกำกับภาษีเต็มรูปจากร้านค้าแห่งนั้นเพื่อนำมาใช้สิทธิในการขอภาษีซื้อคืน

ทุกครั้งที่ “ชานนท์” ได้รับใบกำกับภาษีเต็มรูปชานนท์จะพิจารณาว่า ใบกำกับภาษีเต็มรูปนั้นมีข้อความครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ หากใบกำกับภาษีที่ได้รับมีการแก้ไข ขูด ขีด ลบ ฆ่าในข้อความที่เป็นสาระสำคัญใบกำกับภาษีใบนั้นก็ไม่สามารถนำมาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้
ปัญหาที่ “ชานนท์” พบในบริษัทของตนเองก็คือ ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายขาย ฝ่ายบริหารได้มีการจ่ายค่าใช้จ่ายแล้วขอใบกำกับภาษีซึ่งต้องนำมาเบิกเงินกับฝ่ายบัญชีการเงิน จะทราบได้อย่างไรว่า “ใบกำกับภาษีซื้อ” ดังกล่าวขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้หรือไม่มีวิธีใดที่จะดูได้ว่าเป็น “ใบกำกับภาษีปลอม”

คำถามของชานนท์เป็นคำถามที่เกิดขึ้นแทบทุกธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเลยทีเดียว มาพิจารณาจากประเด็นแรกกันก่อนว่า เมื่อได้รับใบกำกับภาษีซื้อมาแล้วจะดูอย่างไรว่าขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หลักเกณฑ์มีดังนี้
1.ต้องเป็นใบกำกับภาษีเต็มรูป ตามมาตรา 86/4 ซึ่งมีข้อความครบ 8 ประเด็น
2.คำว่า “ใบกำกับภาษี” ต้องพิมพ์มาจากโรงพิมพ์ หรือ พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งฉบับ
3.คำว่า “ชื่อ-ที่อยู่” และ “เลขประจำตัวผู้เสียภาษี” ของผู้ขายหรือผู้ให้บริการ ต้องพิมพ์จากโรงพิมพ์ หรือ พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งฉบับ
4.ต้องไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงบนใบกำกับภาษี
หากเข้าหลักเกณฑ์เบื้องต้นทั้ง 4 ประเด็น ใบกำกับภาษีนั้นก็มีสิทธิขอคืนได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรแต่อย่างไรก็ดีใบกำกับภาษีซื้อที่จะขอคืนได้ต้องไม่เข้าหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) กรณีไม่มีใบกำกับภาษีหรือไม่อาจแสดงใบกำกับภาษีได้ว่ามีการชำระภาษีซื้อ เว้นแต่จะเป็นกรณีมีเหตุอันสมควรตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
(2) กรณีใบกำกับภาษีมีข้อความไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
(3) ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการของผู้ประกอบการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
(4) ภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายเพื่อการรับรองหรือเพื่อการอันมีลักษณะทำนองเดียวกันตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
(5) ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีซึ่งออกโดยผู้ที่ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษี
(6) ภาษีซื้อตามที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี
ประเด็นของใบกำกับภาษีปลอมจะมีวิธีตรวจสอบอย่างไรเนื่องจากประมวลรัษฎากรมีบทกำหนดโทษหากนำใบกำกับภาษีปลอมมาขอคืนภาษีซื้อที่ออกโดยผู้ไม่มีสิทธิออกเนื่องจากไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ไม่ได้ประกอบธุรกิจ แต่ทำใบกำกับภาษีปลอมขึ้นมาขายให้กับผู้ประกอบการรายอื่นถือเป็นการผิดกฎหมาย มีบทลงโทษเบี้ยปรับ 2,000-2000,000 บาท หรือจำคุก 3ปี ถึง 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือ เมื่อมีการจ่ายเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ ออกไปให้จ่ายเป็นเช็คขีดคร่อม A/C Payee Only ซึ่งระบุผู้รับเงินตามเช็คและโอนเปลี่ยนมือไม่ได้ การจ่ายเช็คให้ระบุชื่อผู้รับเงินตามใบกำกับภาษี

อีกวิธีหนึ่งเมื่อได้รับใบกำกับภาษีให้ตรวจสอบ web site ของกรมสรรพากรที่ www.rd.go.th เข้าไปที่ ตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการ VAT แล้วพิมพ์ชื่อผู้ออกใบกำกับภาษี ก็จะทราบได้ว่า ใบกำกับภาษีที่ได้รับนั้นมีสิทธิออกหรือไม่
จะเห็นได้ว่า “ใบกำกับภาษีปลอม” มีผู้ประกอบการหลายรายที่ได้มีการซื้อเข้ามาจัดทำบัญชีและยื่นขอภาษีซื้อคืนจากสรรพากร และได้ถูกดำเนินคดีลงโทษสูงสุดมามากต่อมากแล้ว ระบบควบคุมภายในเพื่อตรวจสอบใบกำกับภาษีจึงจำเป็นสำหรับธุรกิจที่ต้องมีการตรวจสอบทุกครั้งที่ได้รับใบกำกับภาษีซื้อว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
ที่มา: www.manager.co.th (อาจารย์สมเดช โรจน์คุรีเสถียร)
 

ตัวอย่างข้อหารือจากสรรพากร

เลขที่หนังสือ

: กค 0811/พ.14516

วันที่

: 21 ตุลาคม 2540

เรื่อง

: ภาษีมูลค่าเพิ่ม การประเมินภาษีกรณีใช้ใบกำกับภาษีปลอม

ข้อกฎหมาย

: ประเด็นปัญหา

ข้อหารือ

: เจ้าพนักงานประเมินฯ ได้ทำการตรวจสอบพบว่าห้างฯ ได้นำใบกำกับภาษีปลอมมาใช้เครดิตภาษีซื้อ จึงทำการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมเบี้ยปรับ 3 เท่า ของเงินภาษีและเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ห้างฯ จึงขอให้พิจารณาทบทวนการประเมินภาษีของกรมสรรพากร โดย
1. ขอให้งดเบี้ยปรับ 3 เท่า ของตัวภาษี คงให้ชำระเฉพาะตัวภาษี 7% และเงินเพิ่ม1.5%
2. ขอผ่อนชำระค่าภาษีที่ถูกประเมิน โดยขอแบ่งผ่อนชำระเป็นงวดได้
3. ให้ใช้ใบกำกับภาษีส่วนนี้เป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เนื่องจากห้างฯ ได้ซื้อ
สินค้านั้นจริง

แนววินิจฉัย

: 1. กรณีการนำใบกำกับภาษีปลอมมาใช้คำนวณภาษีซื้อในแบบ ภ.พ.30 เป็นเหตุให้ภาษีที่ต้องเสียและภาษีซื้อในเดือนภาษีนั้นคลาดเคลื่อน ห้างฯ ต้องรับผิดชำระภาษีเพิ่มเติมและเสียเบี้ยปรับอีก 1 เท่า ของภาษีที่คลาดเคลื่อน หรือภาษีซื้อที่แสดงไว้เกินไป ตามมาตรา 89(3) และมาตรา 89(4) และเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ ตามมาตรา 89/1 ทั้งต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับอีก 2 เท่าของจำนวนภาษีตามใบกำกับภาษี ตามมาตรา 89(7) แห่งประมวลรัษฎากร
สำหรับกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินได้ตรวจสอบและประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ถ้าห้างฯ ไม่เห็นด้วยกับการประเมินของเจ้าพนักงานฯ ห้างฯ ก็มีสิทธิ์ที่จะคัดค้านการประเมินนั้นได้ โดยการยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน ตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร
2. ห้างฯ มีสิทธิ์ขอผ่อนชำระภาษีอากรที่เกิดจากใบแจ้งภาษีอากรได้ ตามข้อ 5 และข้อ 6 แห่งระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชำระภาษีอากร พ.ศ.2539
3. ในการพิสูจน์รายจ่ายในทางภาษีเงินได้นิติบุคคล ถ้าห้างฯ พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ
ตามใบกำกับภาษีนั้น จะมีผลให้ใบกำกับภาษีนั้นนำมาเป็นหลักฐานการจ่ายไม่ได้ ตามมาตรา 65 ตรี (18) แห่งประมวลรัษฎากร แต่หากใบกำกับภาษีนั้น ห้างฯพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นผู้รับเงิน ใบกำกับภาษีนั้นถือเป็นหลักฐานการจ่ายได้

เลขตู้

: 60/25976